เทศน์เช้า

ขันธ์ห้านอก ขันธ์ห้าใน

๓๑ ธ.ค. ๒๕๔o

 

ขันธ์ห้านอก ขันธ์ห้าใน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๐
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราคุยเรื่องธรรมะ เรื่องภาคปฏิบัติ หรือเรื่องอะไรนี่ อย่างเช่นหนังสือที่เอามาดูกัน เห็นไหม หนังสือที่เอามาดูกัน เวลาบอกว่าผิดอย่างนั้น ผิดอย่างนั้น ผิดอย่างนั้น.. มันผิดตรงไหนล่ะ? อย่างเช่นหนังสือที่เราเอามาอ่านกัน ที่แบบว่าอย่างเช่นหลวงปู่ขาวบอกว่าท่านพิจารณาเป็นต้นข้าว เป็นอะไรนี่ แล้วอีกองค์หนึ่งที่ว่าพิจารณาเป็นต้นนั้นต้นนี้ เพราะมันเป็นความจำมาใช่ไหม? ถึงว่ามันเป็นความจำ มันเป็นแบบว่าวิตกวิจาร

หมายถึงว่ามันได้ข้อมูลเดิมมันก็แบบว่าวิปัสสนึก คือวิปัสสนาแล้วมันจะตามไป ความมั่นความหมายไง เป็นวิปัสสนา เป็นความมั่นความหมาย แล้วมีอยู่คำหนึ่งใช่ไหม ที่เราบอกว่าอาจารย์มหาบัวฟังเทปแล้วบอกว่า “เอาของเราไปทั้งนั้นเลย เอาของเราไปทั้งนั้นเลย”

คำว่าเอาของเราไปทั้งนั้นเลย นี่มันก็ต้องเหมือนกันสิ จริงไหม? นี่แล้วเดี๋ยวจะเข้ามาตรงนี้ นี่มันจะไม่เหมือนกันเลย เห็นไหม ให้เอาหนังสือที่ว่านี่นะ กับพิจารณาจิตมาเทียบกันสิ เราถึงได้บอกว่าอาจารย์มหาบัวฟังพิจารณาที่เอาเทปไปฟัง อาจารย์มหาบัวก็ต้องงงเหมือนกัน แล้วที่เราอ่านนี่เขาก็ต้องงงเหมือนกัน เขาเรียกว่ามันเป็นสมบัติส่วนตนไง เป็นวิทยานิพนธ์ที่ใครเป็นคนแต่งไง มันจะไม่เหมือนกัน แต่ผู้ที่ทำวิทยานิพนธ์ส่งแล้วมันจะจบปริญญาเหมือนกัน มันจะเป็นดอกเตอร์เหมือนกันใช่ไหม? คือว่าผลมันจะเหมือนกันไง

คำว่าผลเหมือนกันหมายถึงว่า ที่เราบอกหมอไปถามเรา เห็นไหม ว่าไปถามอาจารย์มหาบัวว่า “ละขันธ์ ๕ ละอย่างไร?” เราบอกว่าอาจารย์จะไม่ตอบเองหรอก เพราะอะไร? เอ็งเป็นหมอ เอ็งเป็นคฤหัสถ์ เป็นไปไม่ได้หรอก ละขันธ์ ๕ ต้องเป็นพระอนาคามี จริงไหม?

เราพูดไว้แล้วใช่ไหมว่าละขันธ์ ๕ คือพระอนาคามี หมอนี่มันไม่เชื่อหรอก มันนั่งคุยกับเรา ๒ วันนะ ให้เราอธิบายเรื่องสักกายทิฏฐิ ที่ว่ากายไม่มีในเรา เราไม่มีในกายไง เวทนาไม่มีในเรา เราไม่มีในเวทนาไง เห็นไหม อันนี้อาจารย์ก็อธิบายถูกเหมือนกัน ไม่ค้านเลยนะ ขันธ์นอก ขันธ์ในไง เอาพิจารณาจิตตัวนี้มาเปิดดูกันสิ

แล้วนี่ถ้าขันธ์นอกขาดออกไปแล้ว แต่เวลาขันธ์ เวลาที่ว่าไปสวรรค์ ที่ว่าเรานี่ไปสวรรค์ได้หรือไม่ได้ เราบอกว่าฉีกตั๋วเครื่องบินทิ้ง ฉีกตั๋วที่เดินทางทิ้ง เราจองตั๋วไว้แล้วเราฉีกทิ้ง เราจะไปไหนไม่ได้เลยเพราะเราไม่มีตั๋วเดินทาง ขันธ์หลุดออกจากใจแล้วนะ ใจนี้เป็นหนึ่งเดียว ใจนี้เป็นพรหม สวรรค์ก็ไม่มี ตัดกามภพไง ตัดกามภพนี่ฉีกตรงนี้ ฉีกตั๋วทิ้งไง

อันนี้ท่านถึงบอกว่า “ถ้าละขันธ์ ๕ จริงๆ คือละขันธ์ที่จิตถึงจะเป็นพระอนาคามี” แต่ถ้าเป็นโสดาบันนะ ที่ว่าสักกายทิฏฐินี่ เพราะพิจารณากายไง ไม่ได้พิจารณาจิต ฉะนั้น ท่านบอกว่าภาคปริยัติพูดว่าสักกายทิฏฐิ ๒๐ ละขันธ์นอก ทีนี้ท่านบอกการพิจารณากาย นี่ท่านพิจารณากายไง พิจารณาเวทนาไง พิจารณากายแล้วพิจารณาธาตุขันธ์ แล้วค่อยพิจารณาอสุภะ เห็นไหม อสุภะคือตัวขันธ์ในไง แล้วละตรงนี้ท่านถึงบอกว่า

“ถ้าละตรงนี้ ภาคปฏิบัติตัวนี้ถึงจะเป็นละขันธ์ ๕ จริง” ละขันธ์ ๕ จากหัวใจไง ละขันธ์ของจิตไง กายกับจิตไง เห็นไหม ขันธ์.. เวทนานอก เวทนาใน เวทนาในเวทนา วิญญาณนอก วิญญาณใน วิญญาณในวิญญาณ นี่มันถึงว่ากายนอก กายใน กายในกาย กายของจิต นี่อันนี้ที่ว่า ท่านบอกว่าเรานี่จำของท่านมาทั้งหมดเลย เอาของเราไปทั้งหมดเลย เอาของผู้ใหญ่นะ

อย่างเช่นกษัตริย์นี่ พระเจ้าแผ่นดิน งานของพระเจ้าแผ่นดินขนาดไหน? ความรับผิดชอบของพระเจ้าแผ่นดินขนาดไหน? แล้วใครจะรับภาระนั้นมาขนาดไหน? กับเอาของพวกคนทุกข์ คนจนเล็กๆ นี่ต่างกัน คำว่าเอาของท่านมาทั้งหมดนี่เอาอะไรมา? คำนี้มันเป็นคำที่สูงมาก แต่คนตีความไม่ออกไง แล้วถ้าเป็นการเอามา มันต้องแบบว่าต้องก๊อบปี้มาเลย แต่ทำไมอันนี้ไม่เหมือนกัน เอามาหรือเปล่า? แต่ทำไมใช้คำนี้ล่ะ? คำว่า “เอาของเรามาทั้งหมดเลย”

เอามาทั้งหมดเลยนี่ เอาเนื้อหาสาระมาหรือเอาเหตุมา.. นี่คือเหตุนะ ถ้าอย่างพวกเราจำกันมามันต้องเอาเหตุมาพูดใช่ไหม? นี่เป็นอย่างนั้นๆๆ อย่างเช่นเราเห็นรถชนกันไง เราฟังเขาเล่าว่ารถชนกันเราจะบอกเลย คนนั้นเล่ามา เราจำแต่คำที่เขาเล่ามาทั้งนั้นเลย แต่คนที่เห็นรถชนกันมันจะบอกเลย รถคันนั้นชนทางซ้ายนะ มันหมุนติ้วไปทางขวานะ มันไปตกหลุดออกมาอย่างนั้นๆ พูดได้หมดเลย ใครถามถึงก็อธิบายได้อีกนะ เพราะมันเห็นภาพนี่อธิบายได้หมดเลย

นี่ความเห็นจริงไง ถ้าเอาของเรามา จำมามันต้องก๊อบปี้อย่างนี้เลย แล้วเอ็งก็ถามว่าทำไมมันเหมือนกันเลย ทั้งๆ ที่เดือนธันวาคมใช่ไหม? เดือนธันวาคม อันนี้เราพูดตั้งแต่ไหน? นี้พูดถึงว่าอันนี้ที่เอามามันควรจะคิดแต่เราไม่ได้คิดกันไง เราพูดนี้เพื่อจะลดเครดิตเราลงต่างหาก ว่าอันนี้อาจารย์พูดอย่างนี้ๆ แต่ถ้าความจริงแล้วลองสิ เอามามันต้องเหมือนกันสิ

ทีนี้ไอ้อย่างนี้นี่ประเด็นหนึ่ง ประเด็นที่พูดให้ได้คิดไง ไอ้คำพูดของท่านนี่ท่านขนาดไหน? ท่านพูดออกมาขนาดไหน? คำว่า “เอาของเราไปทั้งหมดเลย” ทีนี้เราจะมายันว่าเอาแต่เนื้อหาสาระหรือเอาที่ว่าระดับ แต่ถ้าเอามานี่มันจะยันตรงนี้ ยันตรงนี้ว่าต้องก๊อบปี้เขามา แต่นี่ไม่ได้ก๊อบปี้มาเลย เป็นเรื่องต่างหากแล้วท่านเอาไปฟังท่านถึงบอกว่า “พิจารณาจิตอันนี้แปลกมาก” เพราะอะไร? เพราะเป็นสมบัติส่วนตน สมบัติที่ทำมามันก็เลยเป็นความถนัดไง

ความถนัดนะ อย่างเช่นการทำสัญญา เห็นไหม ข้อตกลงไง ที่ว่าข้อตกลงก่อนยังไม่เซ็นสัญญาไง นี่ขันธ์นอก เป็นข้อตกลงว่าจะประมูลโครงการนี้ ข้อตกลง เห็นไหม MOU ข้อตกลง MOU นี่ขันธ์นอก มันเป็นข้อตกลงภายนอก ข้อตกลงว่าจะทำกัน ข้อตกลงนั้นเป็นสัญญาแล้ว แต่ยังไม่ได้เป็นสัญญา การเซ็นไง

นี่ขันธ์นอก ถ้าพิจารณากายมันปล่อยเหมือนกัน แต่มันไม่เห็นสภาวะแบบนี้ไง แต่ถ้าเห็นสภาวะ.. เพราะเราพิจารณาเป็นพิจารณาขันธ์เลย พิจารณาขันธ์ ๕ พิจารณากายนี่เป็นขันธ์เลย แล้วมันปล่อยกายในขันธ์เลย ขันธ์กับกายปล่อยออกจากกัน แล้วหลุดออกไป แล้วมาครบวงจร ครบสักกายทิฏฐิ ๒๐ พอดีเลย มันเข้ากับหลักเดี๊ยะเลย แต่ถ้าพิจารณาทางอื่นนะ ถึงบอกว่าอาจารย์พูดใช้คำนี้นะ ในหนังสือนี้บอกว่า

“ภาคปริยัติว่าอย่างนี้.. ภาคปฏิบัติ ถ้าละขันธ์ ๕ ควรจะเป็นอนาคามี”

จริง! ถ้าคนพิจารณาอย่างนั้นมาก่อนไง คือว่าอย่างตามปกติมันต้องมี MOU มาก่อนจริงไหม? ตามโครงการ แต่นี่เป็นการภาคปฏิบัติไม่มี MOU ไปถึงก็ควักตังค์ซื้อเลย มันเลยผ่านขั้นตอนนั้นเข้ามา แต่ตามทฤษฎีมันมีใช่ไหม? ตามทฤษฎีต้องมี MOU ก่อน แล้วค่อยมาดูโครงการ แล้วค่อยประมูลตามเนื้อหาสาระ จริงไหม? แต่ถ้าเราสร้างบ้าน เราไม่ต้องมี MOU หรอก เพราะว่าเรา ๒ คนเป็นคนสร้าง ช่างกับเจ้าของงานตกลงกันเอาเลย ภาคปฏิบัติเป็นแบบนั้นไง

ทีนี้ถ้าตามหลักการแล้วมันมาอย่างนั้นตามทฤษฎี แล้วตามหลักการนี้ ตาม MOU นี้มันอยู่ในพระไตรปิฎกไง ทีนี้ปริยัติไปเรียนตรงนั้นมาก็ต้องว่าเรียนตามนี้มาไง ทีนี้เพียงแต่ว่าสมบัติของคนที่เดินตามแนวนี้มามันเข้ากับหลักการอันนี้ มันอธิบายหลักการอันนี้ได้ทุกขั้นตอนเลย แต่ในภาคปฏิบัติของพระปฏิบัติทั่วไป ปฏิบัติมาไม่เข้าหลักการนี้ไง ไม่เข้าหลักการแต่พระพุทธเจ้าบอกเลย “กรรมฐาน ๔๐ ห้อง” กรรมฐาน ๔๐ ห้องอันไหนก็ได้ เข้าไปถึงแล้วจะถึงจุดเหมือนกัน

อันนี้ก็เหมือนกัน การปฏิบัติของแนวทางบุคคลไม่เหมือนกัน ถึงได้กล้าพูดตลอดเวลาว่าสมบัติส่วนตนไม่เหมือนกัน แล้วการปฏิบัติออกมาแล้วต้องดูตรงนี้ไงว่าของใครๆ ถ้าซ้ำกันแล้วต้องถือว่าอันนี้มันก๊อบปี้ ต้องมีการตรวจสอบกันก่อน ถึงบอกอันนี้ไม่เชื่อ เห็นไหม แต่ถ้าอย่างนี้แล้วนี่สมบัติส่วนตน แล้วพิจารณาจิตนี้สมบัติส่วนตน แต่ถ้าลงไปแล้วมันถึงจะเข้ามากับพระไตรปิฎกเปี๊ยะเลย

ขันธ์นอก ขันธ์ใน ขันธ์ของจิต ขันธ์ที่ย่อยสลาย ฟังสิงงตายเลย เราเอาโครงการอะไรมาดูก็แล้วแต่เราวางไว้ แล้วเราฉีกโครงการนั้นทิ้งไป แต่เราเห็นภาพนั้นใช่ไหม? เราเห็นภาพ หนังสือสัญญานี่ เราเห็นสัญญาอยู่แล้วเราจำข้อมูลหนังสือสัญญาได้ ตัวหนังสือสัญญาไม่มี หายไปแล้วเพราะเราฉีกทิ้งไปหมดเลย แล้วความจำนั้นมีไหม? มี

ขันธ์ข้างนอกกับสัญญาเป็นตัวสัญญา ฉีกทิ้งออกไปหมดแล้ว ละออกได้หมด ความจำในสัญญานั้นรวมลงไปไง ถึงบอกว่าทำไมคนเกิดแล้วถึงระลึกชาติไม่ได้ไง ทำไมคนตาย คนชาติไหนๆ ถึงจำไม่ได้ไง เพราะสัญญาเดิมมันย่อยสลายลงมาเป็นความเห็นที่เราเห็นสัญญาแล้วเราฉีกไป สัญญาฉีกไปคือขันธ์ที่มันหมุนนี่เราคิดได้ๆ แต่ตัวอวิชชามันคิดไม่ได้ไง

อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ วิญฺาณปจฺจยา นามรูปํ มันเป็นขันธ์เหมือนกัน ถ้าคิดแล้วเหมือนขันธ์ ๕ เลย แต่ขันธ์ ๕ อันละเอียด ละเอียดไม่ใช่ขันธ์อันนี้ไง มันเป็นปัจจยาการอันเดียวกันไง มันเป็นปัจจยาการอันเดียวกัน มันถึงไม่ใช่ตัวขันธ์ มันถึงว่าเป็นขันธ์นอก มันถึงว่าขันธ์ของจิตไง ถึงจิตกับขันธ์นี้ไม่ใช่อันเดียวกัน จิตเป็นจิต ขันธ์เป็นขันธ์ นี่มันย่อยสลายออกไปตรงนั้นอีกทีหนึ่ง

ทีนี้ตรงนี้มันถึงบอกว่า ไอ้ที่ว่าผ่านเข้ามาๆ ถึงบอกว่าละขันธ์ ๕ ถึงเป็นอนาคามีเด็ดขาด! ไม่เถียง ไม่ค้านเลย ลงเหมือนกันหมด แต่การเข้ามานี่เป็นสมบัติของใครของมัน อันนี้ชัวร์มากๆ เลย ถึงได้กล้ายืนยัน กล้ายืนยันเลยว่าท่านรู้.. ฟังเป็นเดือนไง งงเหมือนกัน แต่อันนี้นะ อย่างเช่นพิจารณากายๆๆ นี่เราก็ไม่งง พิจารณากายแล้วจิตเราก็ไม่งง พิจารณาจิตๆๆ เราก็ไม่งง เพราะว่าเราเดินช่วงนี้ ถึงบอกว่าอุภโตสงฆ์ไง สงฆ์ ๒ ฝ่าย

นี่ก็เหมือนกัน ระหว่างกายกับจิต ๒ ฝ่าย คนได้ ๒ ฝ่าย อันนี้มันถึงคนได้ ๒ ฝ่าย มันถึงว่าหมุนได้แล้วเข้าใจ แล้วไม่ใช่เข้าใจตรงนี้ ถึงได้พูดเมื่อวานเรื่องขณะจิตไง ขณะจิต.. ไม่ใช่ว่าพูดขณะจิต พูดอาการของจิตที่เป็นไป ขณะที่เป็นจะรู้ คนเป็นพูดทีเดียวรู้หมดเลย รู้หมด ทีนี้ถึงว่าท่านอธิบายถูก อธิบายเรื่องลูบคลำ สีลัพพตปรามาส เห็นไหม เพราะมันละเข้ามา

ทีนี้มันละ MOU เข้ามา MOU นี้มันเป็นสัญญาข้างนอก มันไม่เห็นสภาพความเป็นจริงขณะที่ว่าขาดปัจจัตตังไง ขาดที่ว่าขณะที่ขาดมันเป็นขันธ์ในไง เพราะเวลาพิจารณาขันธ์จะเห็นขันธ์ใน แต่ถ้าเราพิจารณาขันธ์เข้ามา เราฉีกมาเป็นชั้นๆ นะมันจะตรงเปี๊ยะ พอตรงเปี๊ยะแล้ว ไอ้ปริยัตินั้นไม่เถียงกันเลย

ฉะนั้น อันนี้ถ้าคนไม่ได้ผ่านตรงนี้มา ถึงได้บอกว่าอันนี้จำมาไง เพราะมันไปเข้ากับปริยัติหมด น้อยมากที่เราภาวนาแล้วจะเข้าปริยัติพอดีๆๆ น้อยมาก มันจะแบบว่า....ไป แล้วอธิบายทีหลัง ย้อนกลับ อธิบายแบบย้อนกลับ ถ้าย้อนกลับมาอธิบายรู้เรื่อง แต่ขณะไปนี้ไม่รู้เรื่อง มันจะไปเรื่อยๆๆ เลย แต่เราต้องครบวงรอบด้วยถึงจะกลับมาอธิบายได้

ฉะนั้นละขันธ์ ๕ ถึงเป็นอย่างนั้นจริงๆ ละขันธ์ ๕ นะ แต่เป็นขันธ์ ๕ ภายใน ขันธ์ ๕ จริง แต่ละสักกายทิฏฐินี้เป็นขันธ์ของกายไง เป็นจิตที่อุปาทานในกาย จิตที่อุปาทาน ถ้าละอุปาทานในกายนั้นสกิทาคามี ท่านบอกสกิทาคามีไม่ต้องพูดกันเลย เพราะไม่ได้ละสังโยชน์เลย เห็นไหม ละอุปาทานตรงนี้ ละอุปาทานนี้มันไปหมายที่กายไง ฉะนั้น ผู้ที่พิจารณากายแล้วทำไมจิตมันถอนล่ะ?

กิเลสอยู่ที่จิตไม่ได้อยู่ที่กาย แต่พิจารณากายทำไมกิเลสมันถอนล่ะ? ต้องเป็นกายในไง เป็นกายปัจจัตตังที่ตาธรรมเห็นไง ที่จิตเห็นจากภายใน เห็นจากมรรคอริยสัจจัง ไม่ได้เห็นด้วยตาเนื้อ ตาเนื้อเห็นกายนอก นี้เป็นกายนอก กายนอกจิตออกไปสัมผัสข้างนอก แล้วปล่อยหดตัวเข้ามา หดตัวเข้ามาเป็นตัวของตัวเองไง

สมมุติเราจะทำงาน เราจะอาบน้ำ เราไม่ได้อาบน้ำ เราให้ลูก หลาน เหลน อาบน้ำ เราก็มาดูเขาว่าอาบน้ำ เราเข้าใจว่าเราอาบน้ำแล้วไง เราดูนะ เห็นว่าเราให้ลูกให้หลานเราหรือใครก็แล้วแต่อาบน้ำข้างนอกแล้วก็มอง มันก็เหมือนกับเราอาบน้ำเพราะเราเห็นภาพอาบน้ำ แต่ถ้าเราอาบน้ำเองก็คือเราอาบน้ำเอง การเห็นว่าเขาอาบน้ำ เห็นไหม ลูกหลานเรานี่มันความรู้สึกเราไง ลูกหลานเราตัวสกปรกอาบน้ำ แหม.. อาบแล้วมันสดชื่นนะ

เห็นกายข้างนอกแล้วปล่อยวางเข้ามาก็มีความสุขอย่างนี้ แต่ถ้าเราอาบน้ำเองเมื่อไหร่ เพราะความอาบน้ำเย็น น้ำเย็นมันกระทบถึงผิวหนังมันมีความสุข มันมีความเย็นใจ นี่คือการวิปัสสนากายใน นี่กาย แล้วจิตมันจะปล่อย เพราะมันความรู้สึกที่กระทบเย็นไง แต่ดูข้างนอกมันก็กระทบ มันเป็นความรู้สึก เห็นไหม แต่ข้างนอกมันไม่กระทบเย็นแบบโดนผิวหนังไง

เหมือนกับเราดูคนอื่นบาดเจ็บ แล้วเราไปบาดเจ็บเองนี่ต่างกัน คนอื่นบาดเจ็บจะเห็นว่าโอ้โฮ.. บาดเจ็บมาแล้วสยดสยอง แต่ถ้าเราบาดเจ็บเองนี่สยดสยองด้วยแล้วก็ช็อกด้วย เจ็บปวดด้วย นี่พิจารณากายใน แล้วจิตมันถอนเข้ามา อันนี้ถึงว่าพอถอนเข้ามาปั๊บ ถึงบอกว่ามันถอน มันตัดกายเข้ามา แต่มันยังไม่ตัดขันธ์ของจิตไง ถ้าละขันธ์ ๕ ได้จริงๆ ต้องอนาคามี ไม่เถียงเด็ดขาด

แล้วพูดมาแล้วด้วย พูดกับหมอด้วย แล้วหมอพยายามให้เราอธิบาย ๒ วัน ๓ วัน อธิบายตรงนี้ มันจะให้อธิบายให้เข้าใจ เพราะโลกอ่านหนังสือไง แล้วว่าสักกายทิฏฐิคือขันธ์ ๕ ไง ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ สักกายทิฏฐิ ๒๐ ถูกต้องเปี๊ยะเลย เอารถมาวนให้เราอธิบาย เราก็อธิบายอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วเราบอกว่าละขันธ์ ๕ เป็นอนาคามี จริงไหม? ไม่มีใครเชื่อ

ชัวร์ๆ อันเดียวกันไง ถึงได้เป็นอันเดียวกัน รู้เหมือนกัน อันเดียวกัน ถึงบอกว่าเป็นปัจจัตตังของใครของมันไง แล้วยืนยัน กล้ายืนยันด้วย ปัจจัตตังคือรู้จำเพาะตน เป็นสมบัติส่วนตน ฟังครูบาอาจารย์มา ศึกษาพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้ามา เป็นกู้เงินธนาคารมาต้องคืนทั้งหมด ลงทุนจนเป็นเงินของเราขึ้นมาแล้ว อันนั้นเป็นของเราทั้งหมด

การกู้ยืม การลงทุน เราจะทำการค้าเราไม่มีทุนเลยเราทำไม่ได้หรอก เราต้องฟังเพื่อความเชื่อตรงนี้ไง ฟังเพื่อความลงทุนไง คือว่าฟังแล้วจับมา คือต้นทุนไง อาจารย์ยื่นให้กับมือไง แล้วเราก็วิปัสสนา จนเกิดขึ้นตามความเป็นจริง แล้วเป็นปัจจัตตังคือรู้จำเพาะตน อันนั้นถึงว่าเอากิเลสได้ ถ้าฟังมา ยึดมานะ กลับมาหนึ่ง เป็นสัญญาให้ตัวเองไม่เชื่อหนึ่ง สองพิจารณาแล้ววิปัสสนึกหนึ่ง หมุนไปอีกเรื่องหนึ่ง ถึงบอกว่าไอ้ที่ว่าเอาของเรามาทั้งหมดเลย เทปตรงนั้นน่ะยันอยู่แล้ว แต่ก็ยังพูดว่าเอาของเรามาทั้งหมดเลย เพราะพูดของผู้ที่รับผิดชอบทั้งหมด

เอาของเรามา เอาอะไรมา เอาของเรามา เรานี่โอ้โฮ.. คำนี้นะมันเหมือนกับเต็มที่เลย แต่ทำไมไม่คิดมุมกลับเลย เอาของเรามาๆ คือจำมา ถ้าจำมานะโดนด่าแหลก เทปนี่จะโดนด่าว่าไอ้นี่มันบ้า ไอ้นี่มันฮึกเหิม ไอ้นี่มันหลงตัวเอง เงียบ... คำหนึ่งก็ไม่มี มีแต่ว่าเอาของเราไปทั้งหมดเลย เอาภูมิธรรมหรือเปล่า? เอาอะไรมา? คนไม่รู้เรื่อง

นี้พูดให้ฟังเฉยๆ หรอก เพราะว่าพูดให้คิดไง คำพูดคำหนึ่งนี่ภูมิของใจมันต่างกัน คำพูดคำหนึ่ง เด็กฟังอย่างหนึ่ง ผู้ใหญ่ฟังอย่างหนึ่ง คนใกล้จะตายนะเขามีประสบการณ์มาก ฟังแล้วอีกอย่างหนึ่ง การฟังแล้วการวิเคราะห์อันนั้น นี่เพราะว่าภูมิของใจไง ภูมิของใจที่มันจะสูงหรือต่ำ ภูมิของใจ ไม่ใช่คำพูดคำหนึ่ง เด็กก็พูดเหมือนกัน ผู้ใหญ่ก็พูดเหมือนกัน ความหมายไม่เหมือนกันสักอย่างเลย อย่างที่ว่านั่นน่ะรับประทาน (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)